กำลังมอเตอร์และแรงบิด เป็นสองพารามิเตอร์สำคัญที่กำหนดความสามารถของ มอเตอร์และมอเตอร์เกียร์ (gear motor) ในการขับงานจริง การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างกำลัง (Power) และแรงบิด (Torque) ช่วยให้เลือกขนาดมอเตอร์และอัตราทดเกียร์ได้อย่างเหมาะสม ป้องกันการโอเวอร์สเปคหรือเลือกเล็กเกินไปจนเกิดปัญหาในการทำงาน บทความนี้อธิบาย หลักการ คำนวณตัวอย่าง แนวทางการเลือก และข้อควรระวังเชิงปฏิบัติสำหรับวิศวกรและผู้ใช้ทั่วไป
แรงบิด (Torque) คืออะไร และทำไมจึงสำคัญ
- ความหมาย: แรงบิด (หน่วย: นิวตันเมตร, Nm) คือแรงหมุนที่มอเตอร์สร้างขึ้นเพื่อขับเพลากลมหรือชิ้นงาน
- ความสำคัญสำหรับมอเตอร์เกียร์: แรงบิดเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดเมื่อต้องเอาชนะแรงต้าน เช่น ยกของหนัก เคลื่อนที่ชิ้นส่วน หรือกวนของหนืด งานที่ต้องการแรงมากจะต้องเลือกมอเตอร์เกียร์ที่มีแรงบิดออกมากเพียงพอเพื่อไม่ให้เกิดการติดขัดหรือสตอลล์ (stall)
กำลัง (Power) คืออะไร และสัมพันธ์กับแรงบิดอย่างไร
- ความหมาย: กำลังเป็นอัตราการทำงานต่อหน่วยเวลา วัดเป็นวัตต์ (W) หรือกิโลวัตต์ (kW)
- สูตรความสัมพันธ์พื้นฐาน: ความสัมพันธ์ระหว่างกำลัง (P), แรงบิด (T) และรอบหมุน (RPM) คือ
- P (kW) = (T (Nm) × RPM) / 9550
- หรือ T (Nm) = 9550 × P (kW) / RPM สูตรนี้ใช้แปลงระหว่างกำลังไฟฟ้าที่มอเตอร์ให้กับแรงบิดที่เพลานั้นทำได้ที่ความเร็วรอบหนึ่งๆ
ตัวอย่างการคำนวณ
- ถ้ามอเตอร์มีพิกัด 1.5 kW ที่ 1,500 RPM
- แรงบิดเชิงทฤษฎี T = 9550 × 1.5 / 1500 = 9.55 Nm
- หากต่อเกียร์ทด 10:1 และสมมติประสิทธิภาพเกียร์ 90%
- แรงบิดเอาต์พุต ≈ 9.55 × 10 × 0.9 = 85.95 Nm
ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าเกียร์ช่วยเพิ่มแรงบิดให้เหมาะกับงานในขณะที่ลดรอบ
- แรงบิดเอาต์พุต ≈ 9.55 × 10 × 0.9 = 85.95 Nm
ชนิดแรงบิดที่ต้องพิจารณาในการเลือกมอเตอร์
- แรงบิดเริ่มต้น (Starting Torque): แรงที่ทำให้มอเตอร์เริ่มหมุน จัดว่ามีความสำคัญสำหรับโหลดที่สตาร์ทยาก
- แรงบิดต่อเนื่อง (Continuous Torque): ค่าแรงบิดที่มอเตอร์สามารถทนได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ร้อนเกินกำหนด
- แรงบิดพีค/แรงบิดชั่วคราว (Peak/Torque Surge): เกิดเมื่อมอเตอร์ต้องรับโหลดสั้นๆ เช่น การเร่งหรือการชนของโหลด
- Service Factor: ค่าสำรองที่ผู้ผลิตระบุเพื่อเผื่อความปลอดภัยในการใช้งานจริง
วิธีเลือกมอเตอร์และมอเตอร์เกียร์อย่างเป็นระบบ
- ระบุโหลดจริงของงาน: คำนวณแรงต้านหรือแรงบิดที่ต้องการที่เพลาก่อนเกียร์ (หรือหลังเกียร์ถ้าวัดได้)
- หา RPM ที่ต้องการที่เพลาเอาต์พุต (หรือกำหนด RPM ของระบบ)
- คำนวณกำลังที่ต้องการโดยใช้สูตร P = T × RPM / 9550
- เผื่อค่า Safety margin: โดยทั่วไปเผื่อ 10–25% ขึ้นกับการใช้งาน (งานมี Shock หรือ Duty Cycle สูงให้เผื่อมากขึ้น)
- เลือกเกียร์ทดถ้าจำเป็น: คำนวณแรงบิดเอาต์พุต = Torque_motor × Gear_ratio × Gear_efficiency
- ตรวจสอบ Service Factor และการระบายความร้อนของมอเตอร์ที่เลือก
เคล็ดลับปฏิบัติและข้อควรระวัง
- หลีกเลี่ยงการ Oversize และ Undersize: Oversize ทำให้ต้นทุนสูงและอาจทำงานที่ช่วงประสิทธิภาพต่ำ ส่วน Undersize จะเสี่ยงต่อการเสียหายและสตอลล์
- พิจารณาลักษณะโหลด: โหลดคงที่ โหลดเปลี่ยนแปลง หรือโหลดที่มี Impulse/Shock ต้องเลือกมอเตอร์และเกียร์ที่ออกแบบรองรับ
- ตรวจสอบค่า RPM และการทำงานร่วมกับ VFD หากต้องการควบคุมความเร็ว — VFD ช่วยให้ประหยัดพลังงานและปรับแรงบิดได้ในช่วงกว้าง
- ดูค่าประสิทธิภาพ (Efficiency) ของมอเตอร์และเกียร์ เพราะการสูญเสียพลังงานแปลเป็นความร้อนและค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น
- ใช้ค่ากำลังและแรงบิดจากแผ่นข้อมูลผู้ผลิต (datasheet) ไม่ใช่แค่ค่าพิกัดเท่านั้น
ตัวอย่างการใช้งานจริง
- ยกของหนักในสายการผลิต: ต้องการแรงบิดสูงที่ความเร็วต่ำ — ใช้มอเตอร์ขนาดกลางต่อเกียร์ทดสูงพร้อมเผื่อ Safety factor 20%
- กวนของหนืด (Mixer): ต้องการแรงบิดตลอดช่วงการทำงานและแรงบิดพีคตอนเริ่มต้น — เลือกมอเตอร์ที่มีแรงบิดสตาร์ทสูงหรือใช้เกียร์ที่ทน Shock ได้ดี
- ระบบสายพานขับที่ต้องการความเร็วสูงแต่แรงไม่มาก — ใช้มอเตอร์ที่มีกำลังพอเหมาะและอาจไม่จำเป็นต้องมีเกียร์ทดสูง
การบำรุงรักษาเพื่อรักษาประสิทธิภาพแรงบิดและกำลัง
- ตรวจเช็กการยึดแนวแกนและลดการสั่นสะเทือน
- ตรวจสอบการหล่อลื่นของตลับลูกปืนและเกียร์ตามคู่มือ
- ดูความร้อนการทำงานของมอเตอร์และเกียร์เป็นประจำ
- ตรวจสอบการสึกหรอของเฟืองและการหย่อนของโซ่/สายพาน
สรุปและคำแนะนำ กำลังมอเตอร์และแรงบิดเป็นพารามิเตอร์ที่เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด เมื่อเลือกมอเตอร์เกียร์ให้เริ่มจากการระบุแรงบิดที่ต้องการและความเร็วรอบที่เอาต์พุต แล้วคำนวณกำลังที่ต้องใช้ พร้อมเผื่อค่าความปลอดภัยและพิจารณาประสิทธิภาพของระบบรวมทั้งเกียร์ การเข้าใจสูตรพื้นฐานและตัวอย่างการคำนวณช่วยให้การตัดสินใจถูกต้อง ลดความเสี่ยง และประหยัดต้นทุนในระยะยาว

